สิ่งที่ผมได้ยินอยู่บ่อยๆคือ 95%ของผู้ทำธุรกิจเครือข่ายคือความล้มเหลวและอีก5%นั้นคือผู้สำเร็จ เมื่อได้ยินคำบอกเล่าเช่นนี้ก็ทำให้ผมรู้สึกว่ามันเกิดอะไรกับคน95% ที่กำลังทำธุรกิจเครือข่ายอยู่กันแน่ เพราะอะไรจำนวนคนที่ล้มเหลวถึงได้มากมายขนาดนั้นและจากที่ผมศึกษาดูแล้วก็ได้คำตอบดังนี้(หลายๆท่านอาจจะค้านก็ได้นะครับ)
1. เพราะเขาไม่เข้าใจว่าธุรกิจเครือข่ายก็คือธุรกิจขายตรงแต่เปลี่ยนจากที่จะได้รายได้แบบชั้นเดียวคือได้เปอร์เซ็นจากการขาย(SLM)มาเป็นการขยายสายงานแบบหลายชั้นได้(MLM) จึงไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสินค้ามากนัก
2. การรีบร้อนเกินไป หลายๆคนมักจะรีบร้อนที่อยากจะโตไวๆเพื่อที่จะได้รับค่าตอบแทนสูงๆเร็วๆ สิ่งนั้นถ้าเป็นการทำเพื่อให้ใจฮึกเหิมหรือเป็นการกระตุ้นตัวเองก็ไม่ผิด หรอกนะครับ แต่หลายๆคนกลับใช้วิธีการไปหลอกผู้อื่น หลอกเอาคนใกล้ๆตัวบ้างหลอกเอาเพื่อนมาบ้างเพื่อที่จะหวังผลประโยชน์จากคนที่ เราแนะนำและสุดท้ายก็ต้องมาสูญเสียทีมงานไปและตัวเราก็ต้องออกจากอาชีพนี้ไป ในที่สุดเพราะไม่สามารถที่จะชักชวนใครได้อีก กลายเป็นเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลาเสียทั้งเพื่อนและคนรู้จักไป
3. การทำธุรกิจทุกธุรกิจต้องใช้เวลา อย่าคิดว่าจะสำเร็จได้เพียงชั่วข้ามคืนต้องมองให้ออกว่าธุรกิจไม่ได้สำเร็จ กันอย่างง่ายๆทุกอย่างต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจของเราเองหรือลูกจ้างเขาก็ตามต้องใช้เวลาด้วยกันทั้งสิ้น
4. การสอนทีมงานเป็น การที่ธุรกิจจะเติบโตได้ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปได้ด้วยตัวคนเดียวการขับเคลื่อน องค์กรทีมงานนั้นทุกฝ่ายและทุกคนสำคัญทั้งหมดดังนั้นต้องสอนให้เขาทำงานเป็น คุณเองคงไม่อยากเหนื่อยอยู่คนคนเดียวใช่มั๊ยครับ การที่ทีมงานทำงานกันเป็นและทำงานอย่างมีระบบนั้นเป็นสิ่งสำคัญมาก คุณต้องสอนให้ทีมงานเขาตกปลาเป็นอย่าเพียงหาปลามามาใส่มือให้เขา และเมื่อทุกคนหาปลาเองกันเป็นเขาเองก็ไม่อดอยากและคุณเองก็ไม่ต้องมาเหนื่อย
5.ต้อง ศึกษาหาความรู้อย่างต่อเนื่อง เพราะการเก็บเกร็ดความรู้แม้จะเล็กๆน้อยๆก็มีประโยชน์ และถ้าได้ฟังหรืออ่านบทความประสบการณ์ของผู้อื่นได้ด้วยนั้นก็ยิ่งเป็นสิ่ง ดีเพราะจะทำให้เรามีจิตใจที่ฮึกเหิมขึ้น
6.การแนะนำสินค้าได้ ถึงธุรกิจMLMอาจ จะไม่ต้องขายสินค้าเลยแต่ธุรกิจนี้ก็เกี่ยวข้องกับสินค้าอย่างชัดเจนฉะนั้น เราเองก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องรู้จักสินค้าในบริษัทของเรา และสามารถแนะนำให้ลูกทีมหรือลูกค้าของเราได้ และถ้าสินค้าไหนที่เราไม่เคยได้ทดลองใช้ก็ไม่ควรจะแนะนำ นอกเสียจากลูกค้าของคุณสนใจสินค้าจาก Catalog เอง เรา ต้องเข้าใจว่าสินค้าจากธุรกิจของเรานั้นราคาค่อนค้างสูงกว่าท้องตลาด ฉะนั้นคุณเองต้องเสนอได้ว่าสินค้านั้นคุ้มกว่าตามท้องตลาดอย่างไรเพื่อจะได้ แนะนำให้ลูกทีมหรือลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ
7. ควรดูความต่างหลายๆบริษัทก่อนที่จะตัดสินใจเข้าร่วม ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์สินค้า, การรักษายอด, การคำนวณเงินเริ่มต้นธุรกิจ, ค่าPV (ค่าPVแต่ละบริษัทนั้นมีการวัดค่าจากPVที่ต้องทำ หารด้วยจำนวนเงินที่ต้องลงทุน เช่นบริษัทนี้ด้องการ2000PV ในการลงทุน และสินค้าที่จะซื้อให้ครบ2000PV อยู่ที่ราคา5000บาท ก็นำ5000มาหารด้วย2000จะเท่ากับค่าPVแต่ละคะแนน จุดนี้คนส่วนใหญ่มักไม่ได้มอง แต่เป็นจุดที่สำคัญนะครับ ผมเคยเห็นบางที่ตกPVละ30-50บาทต่อ1 PVก็มี), แผนการจ่ายเงิน, บริษัทถูกกฎหมายหรือไม่, สินค้าต้องใช้วิทยาศาสตร์วัดได้ (เพราะ บางบริษัทใช้ความรู้สึกในการวัด ยกตัวอย่างเช่นสินค้าอาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงแต่ก็ไม่ได้มีหลัก ในวิทยาศาสตร์ที่สามารถพิสูจน์ได้มารองรับ), สินค้าประเภทบริโภคต้องผ่านองค์การอาหารและยา
8. ธุรกิจควรเริ่มตั้งแต่ยังไม่มีภาระ เช่นนักศึกษา หรือผู้มีงานที่ได้รายได้ตายตัวทำประจำอยู่แล้ว เพราะที่หลายๆคนต้องการรีบโตในธุรกิจนี้ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมีภาระมาก ต้องการใช้เงิน จึงต้องไปหลอกผู้อื่นมา จนลืมคิดไปว่ารายได้ส่วนหนึ่งนั้นต้องมาจากการสอนทีมงานให้ดูแลลูกค้าของตัว คุณเอง และเมื่อคุณหลอกเขามาทำเขาทำธุรกิจไม่ได้ เขาก็ตายจากอาชีพคุณเองก็ต้องตายตามไปด้วย แต่ถ้าเราเริ่มธุรกิจนี้ในขณะที่เราไม่ได้มีภาระอะไรก็ไม่ต้องรีบร้อน ทำธุรกิจของเราให้ค่อยๆโตขึ้นเรื่อยๆ จนมีรายได้จากธุรกิจมากพอค่อยเปลี่ยนจากPart-Time มาเป็นFull-Timeก็ยังไม่สายใช่มั๊ยครับ
ฉะนั้น หนทางของความสำเร็จหรือล้มเหลวนั้นมันมีปัจจัยหลายๆอย่าง เราไม่ควรที่จะมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป ธุรกิจทุกๆธุรกิจก็ต้องมองหลายๆมุมเช่นกัน แต่ส่วนตัวผมนั้นก็ยังมองว่าธุรกิจเครือข่ายเป็นการทำธุรกิจที่มีความเสี่ยง น้อยกว่าเพราะเนื่องจากใช้เงินลงทุนที่ต่ำกว่าธุรกิจหลายๆธุรกิจที่ผมเคย รู้จักมา สำหรับเคล็ดลับนี้ผมหวังว่าผู้อ่านน่าจะได้สิ่งดีๆจากบทความของผมไม่มากก็ น้อยนะครับ
|
วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553
บทความที่ 9 ธุรกิจเครือข่ายMLMหนทางสู่ความสำเร็จ....หรือล้มเหลว
บทความที่ 8 การคัดเลือกผู้เข้าร่วมทีม
ใน องค์กรทุกๆองค์กรก่อนที่จะมีการเข้าทำงานก็ต้องมีการคัดเลือกคน การทำธุรกิจเครือข่ายก็เช่นเดียวกันต้องมีการคัดเลือกคนที่จะนำเข้ามาร่วม ธุรกิจกับเรา คงประหลาดใจใช่มั๊ยครับว่าการทำธุรกิจเครือข่ายทำไมต้องมีการคัดเลือกคนด้วย เพราะทุกครั้งคุณเองมักจะมองการทำธุรกิจเครือข่ายเป็นการไล่ล่าคน คนหลายๆคนมีความเหมาะสมกับงานแตกต่างกันจึงต้องมีการคัดสรรค์คนที่จะเข้ามา ในองค์กรของคุณ จำเป็นต้องคัดอย่างพิถีพิถันถ้าหากคุณไปหลอกเขามาคุณเองก็จะต้องมาเหนื่อย และเสียเวลาที่จะสอน สู้คุณคัดคนที่มีความเชื่อมั่นในธุรกิจและเชื่อว่าธุรกิจนี้สามารถทำให้เขา มองเห็นอนาคตในธุรกิจๆนี้จะดีกว่า เพราะเขาจะสามารถดูแลเอาใจใส่ในการทำงานและทำให้องค์กรเติบโตและมั่นคงได้ มากกว่า
คนส่วนใหญ่มักใจร้อนกับธุรกิจนี้ใช้วิธีการชักชวนคนในจำนวนมากๆเข้าว่า และแนะนำให้ซื้อสินค้าซึ่ง Up-Line ก็หวังผลประโยชน์ในการซื้อสินค้าจาก Down-Line สุดท้ายDown-Line ทำงานไม่เป็นก็ทำให้ตายจากอาชีพนี้และมีอคติกับอาชีพนี้สุดท้ายUp-Line ก็ต้องตายตามไป ดังนั้นสิ่งที่ควรFocusในการคัดเลือกคนที่จะเข้าร่วมงานคือ
1. เขาเปิดใจกับธุรกิจแบบนี้หรือไม่
2. เข้าใจการทำงานอย่างแท้จริงหรือไม่
3. มีมนุษย์สัมพันธ์ดี (ไม่ใช่เข้าแก๊งไหนหัวหน้าตายหมดก็ไม่เอานะครับ)
4. มีความตั้งใจอย่างแท้จริงและอดทนต่อการเรียนรู้
5. มองเห็นภาพอนาคตในธุรกิจ
อาจ จะดูว่าลำบากในขั้นตอนการเลือกสรรคนแต่จงจำไว้นะครับ เรามีขุนพลเก่งๆเพียงไม่กี่หยิบมือนั้นมีค่ากว่ามีทหารชั้นเลวหลายร้อยคน ดังนั้นคุณเองนะครับที่เป็นคนเลือกสรรขุนพลของคุณ
|
บทความที่ 7 อย่าทำการตลาดที่ฝืนธรรมชาติ
ธรรมชาติมนุษย์นั้นจะใช้อารมณ์เป็นสิ่งสำคัญในการตัดสินใจในครั้งแรกที่พบอยู่เสมอ อารมณ์นั้นจะมีอยู่2อย่างคือ รัก และ กลัว
- อารมณ์รักคือ การชอบสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ความปราบปลื้มปิติยินดี ความสุข การได้ช่วยเหลือแบ่งปัน การดึงดูด
- กลัว คือ ระบบป้องกันตนเองที่เห็นว่าไม่ต้องการ การผลักใส ความอิจฉาริษยา ความเห็นแก่ตัว การกลัวที่จะเสียผลประโยชน์ ความเศร้า ภาวะความกลัวของมนุษย์นั้นเป็นสิ่งที่ทุกคนมีและเลือกเองว่า สิ่งนั้นเป็นความกลัวสิ่งนี้คือความรัก คนเรามักหลีกเลี่ยงความกลัว เช่น คนทำธุรกิจเครือข่ายเลือกที่จะอยู่เฉยๆไม่ทำงาน เพราะกลัวที่จะถูกปฏิเสธ
การ ทำการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาติ คือ คนเราไม่ชอบถูกขาย คุณลองนึกภาพตอนที่คุณยืนเลือกของที่ห้างสรรพสินค้าสิครับ ถ้าคุณกำลังดูสินค้าอยู่จู่ๆพนักงานก็เดินตรงเข้ามาหาคุณ คุณรู้สึกอย่างไรครับ เลี่ยงจากพนักงานใช่มั๊ยครับ เพราะคุณเองคิดว่าถ้าวันไหนอยากจะซื้อสินค้านั้นจริงๆหรือพร้อมจะซื้อก็จะมา ซื้อเองนะแหละ วันนี้เพียงมาดูเฉยๆไม่ได้อยากจะซื้อ
เห็น มั๊ยครับคนเรานั้นไม่ชอบที่จะให้ผู้อื่นมากดดันหรือเร่งเร้าสิ่งต่างๆ แต่ในสิ่งที่นักธุรกิจเครือข่ายหลายๆท่านกำลังทำอยู่ก็คือการเร่งเร้าการ สร้างความกดดันให้กับผู้มุ่งหวัง เช่นไปเสนอสินค้ากับเพื่อนๆแนะนำสินค้า ทั้งขายทั้งเสนอโอกาสทางธุรกิจโดยที่เขาเองก็ยังไม่พร้อมและไม่รู้ข้อมูลรวม ทั้งวิธีการทำงานเลยด้วยซ้ำ แต่บางคนสนิทๆกันก็อาจจะเกรงใจเราและก็มักพูดว่า”อืม น่าสนใจ” และราคาสมัครก็ราคาไม่แพงก็เลยสมัครไปอย่างนั้นไม่ได้ทำอย่างจริงจังต่อ แต่บางคนอาจรุนแรงถึงขั้นเสียเพื่อนไปเลยก็มีเพราะไม่อยากจะคุยด้วย
ธรรมชาติ ของคนนั้น ไม่ชอบง้อใคร ไม่ชอบขาย และไม่ชอบให้ถูกขาย ท่านผู้อ่านครับถามหน่อยครับท่านมาทำธุรกิจเครือข่ายนี้ท่านชอบขายหรือเปล่า ครับชอบง้อคนมั๊ย และลองมองสิ่งที่ที่ปรึกษาคุณสอนและสิ่งที่คุณทำอยู่สิ ท่านกำลังง้อคนหรือกำลังโน้วน้าวเขาอยู่หรือไม่
การ ทำการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาติคือ การที่ท่านไม่ต้องไปง้อใคร เพราะคนที่ท่านกำลังสร้างความสัมพันธ์อยู่นั้นต้องการมันอยู่แล้ว และสิ่งที่ท่านให้เขาก็คือวิธีการหรือกำลังแก้ปัญหาให้เขาได้ไม่ใช่โน้มน้าว ใจให้เขาสนใจ ตัวอย่างนะครับ ท่านเป็นพ่อค้าขายหมูที่เป็นพ่อพันธ์เกรดA แต่ท่านกลับไปขายให้กับกลุ่มคนที่เป็นอิสลาม แม้หมูของท่านจะดีเริ่ดขนาดไหนก็คงขายไม่ออกใช่มั๊ยครับ สิ่งที่ท่านต้องคิดคือท่านมีหมูพ่อพันธ์เกรดAอยู่ ในมือเพียงแค่ท่านไปขายคนที่เขาต้องการหมูพ่อพันธ์อยู่ท่านก็สามารถ ขายออกอย่างง่ายดาย นั่นก็คือท่านต้องเข้าให้ถูกกลุ่มครับ เข้าผิดกลุ่มแม้ของจะดีขนาดไหนก็ไม่มีใครสนใจครับ
ฉะนั้นการทำการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาติสิ่งแรกก็คือ
1. ท่านต้องรู้จักกลุ่มเป้าหมาย
2. ท่านมีสินค้าที่เขาต้องการหรือไม่
3. ท่านต้องวางกลยุทธ์ในการทำการตลาดต่อบุคคลเหล่านั้นได้
เป็น อย่างไรครับการตลาดแบบไม่ฝืนธรรมชาตินั้น เราเองก็ไม่ได้รู้สึกว่าต้องง้อใครใช่มั้ยครับ เขาเองก็ไม่รู้สึกว่าถูกขาย สิ่งสุดท้ายที่ผมจะขอฝากไว้ก็คือ การเรียนรู้คือสิ่งสำคัญการเรียนรู้คือบันไดอีกขั้นที่จะมุ่งสู่ความสำเร็จ นะครับ พยายามทบทวนสิ่งที่ผมเขียนไว้ให้ศึกษาอย่างสม่ำเสมอนะครับ แล้วท่านจะไม่หลงทางในการทำธุรกิจของท่านเอง แล้วพบกันใหม่ในบทเรียนต่อไปนะครับ
|
บทความที่ 6 เพราะอะไรจึงต้องโปรโมทตัวเอง
สิ่ง ที่ผมพยายามจะบอกและอธิบายให้ฟังก็คือ สิ่งที่ผมเน้นให้โปรโมทตัวเองและแสดงสิ่งที่เป็นมืออาชีพเพราะ บริษัททุกบริษัททุกวันนี้แต่ละบริษัทก็จะมีจุดดีจุดเด่นแตกต่างกันไปเพราะ ฉะนั้น ถ้าจะให้เราไปพูดถึงบริษัทแผนการตลาด หรือ ตัวผลิตภัณฑ์ คงเถียงกันไม่มีวันจบแน่ๆเพราะแต่ละคนก็ต้องพูดว่าบริษัทที่ตัวทำอยู่นั้นดี ที่สุดแต่สิ่งที่แตกต่างกันไปนั้นก็คือ ทีมและตัวคุณเองตางหากครับ
ทีม และผู้นำทีมสำคัญมากเพราะสิ่งที่จะทำให้คุณสำเร็จนั้นอยู่ที่แผนการทำงานของ ทีมงานของคุณมากกว่า อย่างเช่นทุกอย่างดีแผนการตลาดดีผลิตภัณฑ์ดี แต่ไม่อำนวยนำการทำงาน คุณจะสำเร็จได้อย่างไรครับและที่สำคัญส่วนมากที่ปรึกษาของคุณมักพูดว่างาน ไม่ยากแค่ใช้ดีแล้วบอกต่อ สิ่งนั้นแหละครับอันตรายมาก!! เพราะที่ปรึกษาคุณเองก็ไม่ได้เตรียมแผนการทำงานให้คุณ คุณเองอาจจะมองว่าง่ายแค่ใช้ดีแล้วบอกต่อไม่ได้ขายอะไรซักหน่อย แต่จุดนั้นแหละครับ คุณเองจะไปบอกต่อใคร และบอกต่อเขา จะทำกับคุณหรือไม่ และที่ว่าทำงานวันละไม่กี่ ช.ม.เอง ผมลองทำมาแล้วครับ เวลาแทบทั้งหมดจะมุ่งไปหาลูกค้า บอกแผนการตลาด เสนอโอกาสดีๆทดลองสินค้าให้เขาดู อย่างที่ผมเคยพูดไว้คนเราจะมีเกราะป้องกันตัวเองอยู่ ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิดแน่นอนครับและคุณก็ต้องเสียทั้งเงินเสียทั้งเวลา และยังต้องมาเสียใจท้อแท้กับสิ่งที่คุณลงทุนไป ผมไม่ได้บอกว่าวิธีนี้มันไม่ดีนะครับแต่มันเป็นวิธีที่ดีสำหรับบางคนและบาง ช่วงยุคสมัยเท่านั้น เพราะทุกคนมีความสามารถที่แตกต่างกันออกไป บางคนเป็นคนกล้าแสดงออก บางคนมีฐานเงินที่ดี บางคนรู้จักคนเยอะ นี่คือสิ่งที่เลียนแบบกันไม่ได้ง่ายๆ แต่สิ่งที่ที่ปรึกษาของคุณกำลังจะบอกคุณคือสิ่งนี้แหละครับสิ่งที่เลียนแบบ กันไม่ได้ง่ายๆสิ่งนั้นแหละ
ฉะนั้น สิ่งที่คุณต้องโปรโมทไม่ใช่บริษัทแต่เป็นตัวของคุณเอง เพราะตัวคุณเองถ้ามีแผนการทำงานที่เหมาะสมไม่ว่าคุณจะอยู่ที่บริษัทไหนเขาก็ ต้องติดตามคุณไปแน่เพราะเขาเชื่อแน่ๆว่าถ้าอยู่กับคุณจะต้องสำเร็จ แต่ผมไม่ได้บอกว่าไม่ต้องดูบริษัทและแผนการตลาดหรือผลิตภัณฑ์นะครับ สิ่งนั้นก็จำเป็นเหมือนกัน เพราะต้องดูว่าเขาจ่ายคุณอย่างยุติธรรมหรือไม่ และจ่ายยังไงคุ้มกับตัวคุณหรือเปล่าต้องดูด้วยนะครับ
|
บทความที่ 4 การสร้างความสัมพันธ์อันดี
องค์ ประกอบสำคัญในการสร้างความสัมพันธ์อันดีคือการแนะนำตนเอง เป็นสิ่งจำเป็นนะครับ การที่เราจะรู้จักคนอื่นคือคุณต้องบอกว่าคุณเป็นใครก่อน จากนั้นความสัมพันธ์ถึงจะเกิดขึ้นมาได้ หลังจากความสัมพันธ์เกิดขึ้นแล้วคุณก็แสดงถึงศักยภาพความเป็นมืออาชีพของ คุณเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้อื่นได้
การ สร้างความสัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นก็สามารถทำได้ในสังคมออนไลน์ เช่นมีเว็บไซต์ เป็นของตนเองและเนื้อหาภายในนั้น ไม่ควรเกี่ยวของกับการขาย หรือโอกาสทางธุรกิจแอบแฝง เพราะจะเป็นการสร้างความอึดอัด บทความในนั้นควรจะเป็นการแก้ปัญหา หรือเป็นสิ่งที่มีประโยชน์ ในการทำเช่นนี้เองจะทำให้ท่านสามารถสร้างรายชื่อกลุ่มคนที่สนใจในตัวคุณขึ้น มาได้ นอกจากเว็บไซต์แล้ว ช่องทางอื่นๆก็สามารถทำได้ไม่ว่าจะเป็น Facebook Youtube Twitter Hi5 เป็นต้น
ข้อ ควรระวังในการสร้างความสัมพันธ์นั้นผมอยากจะเน้นเรื่องการแอบแฝงสิ่งอื่นที่ นอกเหนือจากการสร้างประโยชน์หรือแก้ปัญหาให้กับเขาเพราะ นั่นจะทำให้ท่านอาจเสียเพื่อนในเครือข่ายไปในที่สุด เพราะคุณกำลังจะเข้าไปในวงจรเดิมๆที่คนเหล่าต้องนั้นหนีมา
เมื่อ เราสร้างความสัมพันธ์กับเขาแล้วเขาได้เข้าใช้ในเว็บไซต์ของคุณและต่อไปเขาก็ จะมาเป็นสมาชิกคนหนึ่งในเว็บไซต์คุณและลงทะเบียนกับคุณ คุณเองก็สามารถที่จะติดต่อกับเขาได้เพราะนั่นหมายถึงเขาอนุญาตที่จะให้เรา ติดต่อกับเขาได้แล้ว อาจจะฟังดูง่ายนะครับแต่ก็ต้องใช้เวลาและความใส่ใจอย่างมากในการสร้างความ สัมพันธ์ แต่ผลลัพธ์มันก็มหาศาลเช่นกัน
เรา ควรการสร้างความสัมพันธ์อันดีนั้นไว้นะครับ บางทีคนที่เขามาที่เว็บไซต์คุณและได้ดูบทความที่คุณคอยแก้ปัญหาและช่วยเหลือ เขา ไม่แน่ในอนาคตเราอาจจะได้เขามาร่วมเครือข่ายโดยไม่ต้องเปลืองแรง และอีกอย่างคนเหล่านั้นเขามีทักษะที่สูงกว่าคนที่ไม่เคยทำระบบนี้มาก่อนแน่ นอนครับ
|
บทความที่ 3 มนุษย์แม่เหล็กกับการนำมาใช้ในธุรกิจเครือข่าย
บทนี้ผมจะมาบอกวิธีการที่จะนำการตลาดแบบดึงดูดมาใช้ให้เหมาะสมกับธุรกิจเครือข่าย
อย่าง ที่ผมบอกไปเมื่อ 2 บทความที่แล้ว การที่เราจะประสบความสำเร็จนั้นเราต้องเสนอหรือโปรโมทความเป็นมืออาชีพของ ตัวคุณเอง จนสร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้คน ผ่านเครื่องมือต่างๆของเราที่ใช้โปรโมทตัวเอง คนจะรู้จักเราในฐานะผู้เชี่ยวชาญทางด้านเครือข่าย เมื่อนั้นคุณจะเป็นเหมือนแม่เหล็กตัวใหญ่ที่ดึงดูดคนเข้ามา
สิ่ง สำคัญของธุรกิจเครือข่ายขั้นแรกคือ การหารายชื่อผู้ที่สนใจ ลืมวิธีเก่าๆไปได้เลยครับ ไม่ว่าจะเป็นการลิสต์รายชื่อ คนที่รู้จัก หรือลงโฆษณาตามเว็บต่างๆ และสิ่งสำคัญที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือการสแปร์มเมลล์ เพราะนั่นคือคุณก้าวเข้าสู่การทำผิดกฎหมายอยู่ แต่เมื่อคุณทำการตลาดแบบแรงดึงดูดคุณก็เปรียบเสมือนมนุษย์แม่เหล็กที่จะดึง ผู้คนเข้ามาหาคุณเอง คุณไม่จำเป็นต้องโทรหา หรือต้องมานั่งลิสต์รายชื่ออีกต่อไป เพราะเขาจะเป็นฝ่ายพุ่งเข้าหาตัวของคุณเอง ด้วยความเป็นผู้เชี่ยวชาญของคุณและเชื่อมั่นในตัวคุณ และงานของคุณจะเป็นการคัดเลือกผู้ที่สนใจจะสำเร็จในธุรกิจและต้องการจะเรียน รู้ คนที่สนใจว่าท่านกำลังจะเอ่ยอะไรออกมา
สิ่ง สำคัญอีกอย่างคือการติดตาม คนส่วนใหญ่มันจะติดตามโดยการโทรศัพท์ เพราะเป็นการโต้ตอบทันที จริงครับว่าโทรศัพท์ไวจริง แต่ปัจจัยที่เขาจะรับฟังหรือสนใจจะคุยกับคุณมีหลายอย่างครับ ตอนที่คุณโทรไปคุยกับเขาเป็นไปได้ว่าตอนนั้นเขาอาจจะไม่ว่างกำลังยุ่งอยู่ หรือตอนนั้นอารมณ์เขาไม่ดีอยู่ สัญญาณโทรศัพท์ไม่ดี และอื่นๆอีกมากมาย
ทั้ง หมดนี้เป็นปัจจัยที่ที่ทำให้เกิดความล้มเหลวได้โดยง่าย ถึงคุณเองจะเป็นมืออาชีพขนาดไหนมีวิธีพูดที่ดีขนาดไหนก็ตาม และยังถูกจำกัดเรื่องเวลาอีก ซึ่งผลในการคุยจะออกมาอย่างไรก็ยังไม่ทราบ บางรายชื่อคุณโทรไปเขาก็ไม่สนใจรังแต่จะจะทำให้คุณท้อใจ แม้กระทั่งคนที่สนใจแต่ก็ยังไม่ตัดสินใจ ท่านจะจะโทรตามคนเหล่านั้นได้กี่ครั้งกัน และสุดท้ายก็ต้องทิ้งรายชื่อนั้นทิ้งไปทั้งๆที่หารายชื่อได้มาอย่างลำบาก เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นกันการทำธุรกิจเครือข่ายแบบเก่าๆที่คุณพบเจอกันอยู่ ใช่มั้ยครับ วิธีติดตามของระบบการตลาดแบบดึงดูดคือระบบ Email Marketing เป็นวิธีติดตามที่ทรงอานุภาพมากที่สุดคือติดตามผลผ่านทางEmail คุยจะไม่ต้องเหนื่อยกับการคุยกับคน เราจะถูกคนที่สนใจจริงๆโทรมาหา หรือส่งเมลล์มาถามมาคุยกับคุณเอง เห็นมั้ยครับการทำเช่นนี้ง่ายกว่าเยอะ ท่านก็สามารถให้ข้อมูลในแบบระบบที่ท่านมีอยู่ได้เลย คนที่สนใจจะได้รับเมลล์จากระบบที่ส่งไปหาเขาเรื่อยๆตามที่ท่านต้องการ (การส่งเมลล์อย่างนี้ถูกกฏหมายครับ) คุณเองจะไม่เสียรายชื่อที่หามาได้อย่างลำบากไปฟรีๆ เพราะถ้าท่านมีรายชื่อเยอะๆการใช้ระบบติดตามเช่นนี้จำเป็นมากครับ เพราะคุณคงไม่อยากจะใช้วิธีโทรศัพท์หาคนจำนวนมากๆอย่างเดียวคงไม่ไหวใช่มั้ย ครับ
ปัจจุบันนี้การใช้ระบบEmail Marketing เริ่ม นำมาใช้กันเยอะมากขึ้นเพราะถือเป็นหัวใจของการทำการตลาดแบบดึงดูดได้ดีที เดียว เพราะเป็นการสร้างความน่าเชื่อมั่นของคนอื่นในความเป็นมืออาชีพของคุณ
ข้อ สำคัญสุดท้ายคือการปิดการขายในการทำธุรกิจเครือข่ายนั้นก็จะมีการปิดการขา เช่นกัน เห็นมั้ยครับว่าการนำการตลาดแบบดึงดูดมาใช้ในธุรกิจเครือข่ายนั้นสอดคล้อง กัน หน้าที่จริงๆชองคุณเพียงแค่ปิดการขาย และรับสมัครคนเพียงเท่านั้น เมื่อท่านเป็นมนุษย์แม่เหล็กแล้วท่านเองไม่จำเป็นต้องโน้มน้าวใจอะไรเลย หน้าที่เพียงแค่ดูว่าเขาจริงจังแค่ไหน ถ้าเขาไม่จริงจังก็ปฏิเสธเขาไป เพราะคุณจะรู้ว่าถ้าเขาไม่จริงจังก็จะเสียเวลาเปล่าๆ และคุณจงสอนการตลาดแบบที่ท่านทำอยู่กับคนที่เข้าร่วมกับคุณ
เป็นยังไปครับต่อไปบริบทของคุณจะเปลี่ยนไปจากเป็นผู้ล่ากลับกลายเป็นถูกล่าแทนแล้ว
|
บทความที่ 2 การทำตลาดแบบแรงดึงดูด
มา ถึงบทที่ 2 เราพอจะเข้าใจรูปแบบการทำการตลาดแบบ ไล่คนหนีไปบ้างแล้ว คราวนี้เรามาลอง ดู การทำการตลาดแบบดึงดูด ว่าเขาทำกันอย่างไร
การทำการตลาดแบบดึงดุด เป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ที่จะเข้ามาในเครือข่าย
ยก ตัวอย่าง ถ้ามีคนที่ท่านจะเข้าร่วมทำธุรกิจเครือข่ายด้วย อยู่ 2ประเภท ที่ทำธุรกิจตัวเดียวกัน คนหนึ่งเข้าใจและเชี่ยวชาญธุรกิจเครือข่ายเป็นอย่างดี กับอีกคนเป็นแค่คนทำการตลาดแบบทั่วๆไป
คุณ จะเลือกเข้าร่วมกับใครครับ แน่นอนคุณก็ต้องเข้าร่วมกับผู้เชี่ยวชาญธุรกิจแน่ๆใช่มั้ยครับ คนอื่นๆก็ต้องคิดอย่างคุณเช่นกัน คนมักจะเลือกคนที่เป็นผู้นำที่คิดว่าจะทำให้คุณประสบผลสำเร็จเสมอ แรงดึงดูดนี้ความเชื่อมั่นเป็นสิ่งที่คุณต้องสร้าง ไม่ใช่เชื่อมั่นในตัวบริษัทหรือแผนการตลาด แต่เป็นความเชื่อมั่นของคนอื่นต่อตัวท่านเองตางหาก
เพราะ ฉะนั้น คุณควรหยุดโฆษณา โอกาสทางธุรกิจเสียทีครับ เพราะแทนที่คุณจะดึงคนเข้ามาร่วมธุรกิจกลับเป็นการไล่เขาออกจากระบบของคุณ และกลายเป็นโฆษณาขยะตามเว็บต่างๆ เหมือนที่คนอื่นๆเขาทำกัน แต่สิ่งที่ท่านควรทำคือโปรโมตความเป็นผู้เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจให้กับเขา เปลี่ยนจากผู้ล่าให้เป็นผู้ถูกล่า เป็นบุคคลที่ผู้คนต่างถวิลหาอยากจะเจอ คราวนี้ท่านก็จะกลายเป็นแม่เหล็กขนาดใหญ่ที่ที่ดึงดูดผู้คนเข้ามาคุณเองและ คุณจะเข้าสู่การเป็นนักการตลาดแบบดึงดูดเต็มตัว
หวังว่าบทเรียนนี้จะช่วยให้ท่านเข้าใจระบบการดึงดูดได้ไม่มากก็น้อยนะครับ
|
บทความที่ 1 ปัญหาการทำธุรกิจ?
ปัญหาที่ผู้ทำธุรกิจส่วนใหญ่ได้พบคือ การทำธุรกิจจำเป็นต้องหาผู้ร่วมธุรกิจแต่สิ่งที่ทำอยู่กลับทำให้คนวิ่งหนี คุณ มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด ทั้งๆที่คุณไปเสนอสิ่งดีๆโอกาสดีๆทางธุรกิจให้กับเขาแท้ๆ แล้วเมื่อผู้คนวิ่งหนีคุณเช่นนี้ ธุรกิจจะเป็นเช่นไรในอนาคตละครับ
เพราะอะไรทุกคนจึงวิ่งหนีคุณ ต้องคิดถึงความเป็นจริงก่อนครับ ทุกคนจะมีเกราะป้องกันตัวเองอยู่ทุกคนครับ เพราะทุกคนมีความกลัว กลัวจะถูกหลอก กลัวจะเสียเปรียบ กลัวจะกลายเป็นคนโง่ กลัวสารพัดจะกลัว จึงเกิดเกราะป้องกันตัวเองขึ้นมา แล้วจะเกิดคำถามในใจของคนที่คุณไปพูดคุยว่าถ้าเป็นอย่างที่คุณพูดจริงๆคุณก็ เอาความสำเร็จมาให้ดูก่อนสิถึงจะเชื่อ !!! โอ้ก็ในเมื่อความสำเร็จในธุรกิจเช่นนี้มันต้องหาคนนี่ ถ้าไม่มีคนจะสำเร็จได้ยังล่ะ!
ทั้งๆ ที่คุณเอาสินค้าที่ดีๆไปเสนอก็แล้วพูดถึงรายละเอียดก็แล้วแต่ทำไมผู้คนถึง เบือนหน้าหนีคุณกันหมด ผมอยากให้คุณลองคิดกลับกันนะครับลองเขาเป็นเราและเราเป็นเขา
ยกตัวอย่างนะครับ
ถ้าคุณไปเที่ยวกับเพื่อนๆแล้วเพื่อนในกลุ่มของคุณคุยแต่เรื่องธุรกิจคุณเองจะรู้สึกยังไงครับ
เวลา ไปหาญาติพี่น้อง ทั้งๆที่ปกติไม่ค่อยได้คุยกันเท่าไหร่ เขากลับเอาแต่แนะนำผลิตภัณฑ์และเสนอโอกาสทางธุรกิจกับคุณ คุณชอบหรือไม่ครับ
เล่นอินเตอร์เน็ตเจอแต่โฆษณา โอกาสทางธุรกิจ คุณจะปิดทิ้งหรือเปล่า
พอ จะเข้าใจบ้างแล้วใช่มั้ยครับว่า สิ่งที่คุณคิดว่ามันเวิร์ค สิ่งที่คุณได้รับคำแนะนำจากที่ปรึกษาของคุณแนะนำมามันดีจริงอย่างที่คุณคิด หรือเปล่า ลิสต์ชื่อ 10,20,30,…100 คน แล้วโทรหาเขาชวนเขามา แนะนำสิ่งดีๆให้กับเขาบอกเขาว่าใช้ดีแล้วบอกต่อ!! เมื่อมันไม่เป็นอย่างที่คุณคิดคุณก็เริ่มจะต้องลงทุนในการจ่ายเงินซื้อ พื้นที่โฆษณาตามเว็บเพื่อโปรโมท บางคนก็ซื้อรายชื่อมาโทรกันเลยแล้วก็แจกซีดี สิ่งที่คุณทำทั้งหมดเพราะคุณต้องการผลให้เขามาเข้าร่วมธุรกิจกับคุณแต่ มันกลับกลายเป็นการไล่เขาให้ไปไกลๆคุณโดยไม่รู้ตัว ระบบเช่นนี้เรียกว่าระบบไล่คน
นี่แหละครับคือเหตุผลว่าทำไมคนถึงไม่ประสบความสำเร็จในธุรกิจเช่นนี้ ได้น้อยกว่าเสีย สุดท้ายก็เข้าไปในวงจรอุบาทว์ในการทำธุรกิจ คือเปลี่ยนที่ไปเรื่อยๆ เพราะบางคนอาจคิดว่าไม่สำเร็จเพราะเราไม่ได้เป็นต้นสาย จริงๆแล้วมันไม่ใช่เลยถ้าทำเช่นนี้ถึงไปที่ไหนๆก็จะล้มเหลวเช่นเดิม
ถึงไปที่ไหน แต่ก็ทำงานแบบเดียวกัน ใช้ระบบเดิมๆผลลัพธ์ก็ไม่แตกต่างกันหรอกครับ นั่นคือเหตุผลที่คนส่วนใหญ่เป็นกันแล้วก็เกิดสถิติที่ว่าผู้สำเร็จในธุรกิจ นี้เพียงแค่ 1-5%
แล้วละบบไหนละที่จะไม่ทำให้คุณล้มเหลวอีกต่อไป นั่นคือระบบแบบ การตลาดแบบดึงดูดไงครับ แล้วดึงดูดอะไร....ดึงดูดสิ่งต่อไปนี้ไงครับ
ดึง ดูดคนที่เขาต้องการที่จะทำธุรกิจอยู่แล้ว การที่คุณจะเสนอธุรกิจให้ใครสักคน คนๆนั้นต้องมีความคิดที่ต้องการจะทำอยู่แล้วใช่มั้ยครับ เพราะเอาธุรกิจไปคุยกับคนทั่วๆ มันเหมือนคุยกันคนละเรื่อง
ดึงดูดคนโดยคุณไม่ต้องยกหูโทรศัพท์หาใครเลย ไม่จำเป็นต้องออกจากบ้าน ไปคุยธุรกิจ เพราะคุณใช้ระบบอัตโนมัตในการทำงาน
และ คุณสามารถที่จะเลือกคนเพื่อมาร่วมธุรกิจกับคุณได้ คุณเองสามารถเลือกได้ว่าจะนำใครเข้ามาร่วมทำงานกับคุณมันจะดีแค่ไหนลองนึก ภาพดูสิครับ
แล้ว สิ่งที่ผมพูดไปมันเป็นไปได้จริงๆหรอ ถ้ามีจริงก็ดีสิ มันเหนื่อยแล้วนะทั้งต้องออกจากบ้านทุกวันเสียค่าโทรศัพท์ไปเป็น 100 เป็น 1,000 แล้วยังไม่ได้เลยซักคน ฉันท้อแล้วกับการถูกปฏิเสธ
ข่าวดีครับ ระบบได้ถูกสร้างขึ้นมาแล้ว แล้วคุณจะได้เรียนรู้ มากขึ้นกับการทำการตลาดแบบ ดึงดูด
|
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)